กำลังเป็นที่จับตามองของสื่อของวงการฟุตบอลเป็นอย่างมากเลยทีเดียวกับนักฟุตบอลที่ชื่อว่า  จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม เนื่องจากว่าในขณะนี้นั้นเขายังอยู่ในสัญญากับทีมสโมสรหงส์แดงลิเวอร์พูลอยู่แต่สัญญาฉบับที่ที่เขากำลังเซ็นอยู่นั้นกำลังจะสิ้นสุดการเป็นสมาชิกของทีมหงส์แดงลิเวอร์พูลในปีนี้แล้วซึ่งแน่นอนว่าหลายคนกำลังมองว่าถ้าหมดสัญญาแล้ว

ทั้งด้านสโมสรลิเวอร์พูลจะปล่อยตัวก็ออกไปสู่ทีมอื่นหรือจะยังคงดึงตัวเข้าไว้ให้อยู่ทีมเดิมและต่อสัญญากันเพราะในขณะนี้ยังไม่มีแนวโน้มว่าเส้นทางการเล่นฟุตบอล จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม จะไปในทิศทางไหนเพราะผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูลอย่าง  เยอร์เกน คลอปป์ ยังไม่มีทีท่าว่าจะออกมาพูดถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไรบ้างเลย

ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นทางด้านทีมสโมสรบาร์เซโลน่าก็แสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่าทางสโมสรอยากจะได้ตัวจอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ไม่ไปร่วมทีมของพวกเขาหากว่า จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม หมดสัญญากับทางทีมสโมสรลิเวอร์พูลแล้วซึ่งตอนนี้อนาคตของจอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม อยู่ที่ สโมสรลิเวอร์พูลเท่านั้นว่าจะตัดสินใจอย่างไร

       อย่างไรก็ตามได้มีอดีตนักฟุตบอลซึ่งเป็นตำนานดาวยิงของสโมสรลิเวอร์พูลได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกันว่าทางด้านผู้จัดการทีมควรจะต้องมีการออกมาพูดถึงเรื่องนี้ได้แล้วว่าความเป็นไปได้ที่จะให้จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม อยุ๋กับทีมลิเวอร์พูลต่อไปนั้นมีมากแค่ไหนหรือจะปล่อยตัวให้เขาแป๊บอยู่สโมสรอื่น

ซึ่งอดีตดาวยิงของลิเวอร์พูลที่เอามาพูดถึงเรื่องนี้นั่นก็คือ  จอห์น อัลดริดจ์ ซึ่งเขาเคยอยู่กับสโมสรลิเวอร์พูลมาก่อน เลยเขาอยากจะให้ทางด้านผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูลนั้นออกมาพูดให้ชัดเจนไปเลยเพื่อที่จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม จะได้รู้แนวทางในอนาคตของตนเองว่าจะต้องเป็นอย่างไรต่อไป

  สำหรับตัวเขาเองแล้วเขามองว่า จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุมเป็นนักฟุตบอลที่เล่นเก่งเลยทีเดียวซึ่งถ้าหากใครได้ดูการแข่งขันของเขาในสนามแต่ละสนามนั้นจะเห็นได้ว่าเขาสามารถครองบอลได้ดีและไม่ค่อยเสียบอลเท่าไหร่ดังนั้นถ้าหากทีมจะเก็บเข้าไว้ก็เป็นสิ่งที่สมควรแต่ในขณะเดียวกันตอนนี้ก็มีข่าวลือออกมาเหมือนกัน

ว่าทางด้านลิเวอร์พูลอยากจะได้ตัวนะแต่คนอื่นมาร่วมงานแทนจอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม แต่ก็ยังมีอีกกระแสข่าวหนึ่งที่ระบุว่าทางด้านทีมสโมสรบาร์เซโลน่าก็อยากจะได้ตัวจอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ไปรวมทีมด้วยเช่นเดียวกันดังนั้นจึงควรที่จะให้ความชัดเจนกับทางนักฟุตบอลเพื่อที่เขาจะได้รู้แนวทางในอนาคตของตนเอง

สนับสนุนโดย   ทางเข้า ยูฟ่าเบท มือถือ

        ตอนนี้หลายทีมกำลังมองหาตัวนักเตะที่หมาะสมกับทีมให้มาร่วมทีมกันมาก เพราะยังอยู่ในช่วงเวลาของการซื้อขายนักเตะกันอยู่และสโมสรฟุตบอลอย่าง  เรอัล มาดริด นั้นก็ไม่ต่างกันเพราะได้มีการมองตัวนักเตะเอาไว้หลายคนอย่างมากทีเดียวที่พวกเขาอยากดึงตัวให้มาร่วมงานด้วยกัน โดยเฉพาะทีม เรอัล มาดริดอยากได้กองหน้ามาช่วยงานอย่างมาก ซึ่งมีข่าวลือหนาหูออกมาด้วยว่านักเตะที่ทีม เรอัล มาดริด มองเอาไว้ในการที่จะให้มาช่วยเป็นกองหน้าให้นั้นตอนนี้มีอยู่ 2 ตัวเลือกด้วยกันนั่นก็คือ  เนย์มาร์ กับ เอ็มบั๊ปเป้

ซึ่งตอนนี้นักเตะทั้งสองคนนี้อยู่สังกัดเดียวกันนั่นก็คือ แรส แซงต์ แชร์กแมง แต่ทางด้านสโมสร เรอัล มาดริดก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะเลือกใครดี ทางด้านนักข่าวเมื่อได้มีโอกาสเจอหน้า โรนัลโด หลุยส์ นาซาริโอ้ เดอ ลิม่า  หรือที่เรารู้จักเขากันเป็นอย่างดีกับเจ้าของฉายาโล้นทองคำ  ซี่งเขาคือหนึ่งในตำนานลูกหนัง เป็นนักเตะที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลายปี

และปัจจุบันก็ยังนับได้ว่าเขายังคงเป็นตำนานในวงการฟุตบอลอยู่เหมือนเดิม ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะมีการเปลี่ยนตัวเองจากนักเตะมาเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลแล้วก็ตาม  และจากการที่ โรนัลโด้ ได้ออกความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของการซื้อนักเตะนั้น มุมมองของเขากลับเป็นมุมมองของคนที่เป็นเจ้าของสโมรสรที่คิดเกี่ยวกับกำไรและการขาดทุน เกี่ยวกับการซื้อนักเตะมาเพื่อเหตุผลทางธุรกิจสูงกว่าการที่จะซื้อมาเพื่อความชอบเพียงอย่างเดียว  โดย โรนัลโด้ ไม่ได้พูดว่าใครดีกว่าใครหรือใครเก่งกว่าใคร เพราะมุมมองของเขาแล้ว เขามองไปถึงในอนาคตว่านักเตะคนไหนจะสามารถทำเงินให้กับทีมได้มากกว่ากันมากกว่า 

เพราะหากว่า เรอัล มาดริดจะตอ้งเสียเงินไปก้อนใหญ่ๆเพื่อซื้อตัวนักเตะก็ควรที่จะมองถึงผลประโยชน์ระยะยาว อย่างเช่นหากว่าทางด้านสโมสร มาดริด ตัดสินใจที่จะซื้อตัว เนย์มาร์ ต้องรู้ก่อนว่าตอนนี้เขาอายุ 28 ปีแล้ว ในอนาคตจะทำเงินให้กับทีมได้หรือไม่ กับตอนนี้ ทางด้าน เอ็มบั๊ปเป้ อายุ 22 ปี

ดังนั้น การเลือกนักเตะควรเลือกวางแผนไปถึงในอนาคต เพราะในด้านฝีเท้านั้น เราต่างก็รู้กันดีว่าทั้งคู่นั้นเป็นนักเตะที่มีลีลากันเล่นที่เก่งมาก เรียกได้ว่าสูสีกันก็ว่าได้  ดังนั้นในการตัดสินใจที่จะซื้อตัวนักเตะคนหนึ่งควรที่จะเลือกพิจารณาในหลายมุมมอง  เพื่อนาคตที่ดีของทีมนั่นเอง

          สำหรับ โรนัลโด หลุยส์ นาซาริโอ้ เดอ ลิม่า  นั้นในอดีตเขาคือนักเตะมากฝีเท้าเป็นนักเตะระดับตำนาน และที่สำคัญเขาเคยอยู่ทีม เรอัล มาดริดมาก่อนอีกด้วยก่อนที่ตัวเขาจะอายุเยอะแล้ว และได้มายุติบทบาทจากการเป็นนักเตะและผันตัวเองมาเป็นเจ้าของสโมสรแทน

สนับสนุนโดย   เว็บพนันออนไลน์ ได้เงินจริง

                นับตั้งแต่ที่มีข่าวหน้าที่บาร์เซโลน่ากำลังจะเสียนักเตะคนดังอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ไปอยู่กับทีมอื่นก็ทำให้คนที่ได้ทราบข่าวพากันชอบไปต่างๆกันโดยเฉพาะแฟนบอลของเมสซี่และแฟนบอลของทีมบาร์เซโลน่าแล้วใครๆต่างก็รู้กันดีว่าลีโอเนลเมสซี่นั้นอยู่กับทีมบาร์เซโลน่ามานานมากแค่ไหนแล้ว  สำหรับลิโอเนล เมสซี่ แล้วนับว่าเป็นตำนานของทีมบาร์เซโลน่าเลยก็ว่าได้แต่อยู่ๆก็เหมือนมีฟ้าผ่าลงมากลางใจของแฟนบอล

ของบาร์เซโลน่าเมื่อเมสซี่นักเตะที่พวกเขาชื่นชอบและคิดว่าในชีวิตนี้ของเมสซี่คงจะอยู่กับทีมบาร์เซโลน่าไปตลอดนั้นมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่าเขาต้องการย้ายไปอยู่ทีมอื่นทำให้คนที่ทราบข่าวสารความรู้สึกช็อคและอยากรู้ถึงสาเหตุว่าทำไมนักเตะคนดีของเขาถึงอยากจะย้ายทีม

อย่างไรก็ตามมีการคาดการณ์กันไปต่างๆนานาถึงสาเหตุที่ทำให้เมสซี่อยากจะย้ายออกจากทีมบาร์เซโลน่าซึ่งแน่นอนว่าทุกคนมองไปที่สาเหตุล่าสุดในรอบการแข่งขันของฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปียนลีกที่ ลิโอเนล เมสซี่ ต้องพ่ายแพ้ให้กับทีมบาเยิร์นมิวนิคซึ่งทุกคนรู้ดีว่าเมสซี่คาดหวังกับรางวัลนี้มากแล้วเมื่อแพ้ให้กับทีมที่ไม่เก่งอย่างบาเยิร์นมิวนิคมากมายถึง 2 ประตูต่อ 8 มัน

ก็คงทำให้คนเก่งอย่างเมสซี่ทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงได้ตัดสินใจอำลาทีมบาร์เซโลน่าทันทีหลังจากที่แข่งขันฟุตบอลเสร็จและเมื่อมีการยืนยันออกมาเป็นที่แน่นอนแล้วว่า ลิโอเนล เมสซี่ ยืนยันจะย้ายทีมแน่นอนแล้วแฟนบอลที่สนับสนุนนักเตะอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ มาโดยตลอดต่างก็นัดมารวมตัวกันที่สนามฟุตบอล คัมป์ นู

โดยจำนวนแฟนบอลที่นัดมารวมตัวกันในครั้งนี้มีมากกว่า 100 คนเลยทีเดียวซึ่งสาเหตุที่พวกเขาต้องออกมารวมตัวกันที่สนามฟุตบอลนี้ได้ก็เพราะว่าเขาต้องการให้ทางสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาเห็นว่าพวกเขานั้นมีความรักในตัวเมสซี่มากแค่ไหนและเขาต้องการที่จะกดดันทีมสโมสรบาร์เซโลน่าไม่ให้ปล่อยตัวเมสซี่ออกจากทีม

ซึ่งพวกเขาพยายามกดดันสโมสรบาร์เซโลน่าให้เก็บตัวเมสซี่เอาไว้ เป็นนักเตะของบาร์เซโลน่าไปจนถึงฤดูกาลหน้า แต่ไม่ว่ายังไงท้ายที่สุดแล้วคนที่ตัดสินว่าจะย้ายหรือไม่ย้ายนั่นก็คือตัวของ ลิโอเนล เมสซี่ เองซึ่งทางด้าน ลิโอเนล เมสซี่ ก็ยืนยันเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าเขาต้องการย้ายอย่างแน่นอนถึงแม้ว่าเขาจะต้องเสียค่าฉีกสัญญาเท่าไหร่ก็ตาม

สนับสนุนโดย   จีคลับ มือถือ

หลังจากที่ปลดฟ้าผ่า กุนซือยูเวนตุส เมารี่โอ ซาร์รี่ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ทำผลงานงามหน้าตกรอบสิบหกทีมศึกฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก ไปเป็นที่เรียบร้อย ด้วยน้ำมือของโอลิมปิกลียง ด้วยสกอร์ที่เสมอเท่ากันสองประตูต่อสอง แต่ต้องกระเด็นตกรอบไปด้วยกฎประตูทีมเยือน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานสำหรับยอดทีมจากประเทศอิตาลี ที่อย่างน้อยๆนั้นรายการนี้ ทีมม้าลายจะต้องอยู่ถึงรอบแปดทีมสุดท้ายมาไม่รู้กี่ปี

งานนี้ต่อให้นักเตะอย่างโรนัลโด้ ที่อุตสาห์ยิงสองประตู ก็ยังไม่สามารถช่วยให้ทีมเข้ารอบได้ ดังนั้นการไล่ออกจึงเกิดขึ้นอย่างทันควัน หลังจากที่ทีมม้าลายตกรอบไปได้ไม่ถึงสี่สิบแปดชั่วโมง ซึ่งว่ากันตามตรงแล้วนั้น การไล่ออกตาลุงสายควันนี้ ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะจริงๆแล้วนั้น

ชะตาของตัวลุงเองนั้นใกล้ขาดเต็มทีสำหรับการคุมทีมม้าลาย ตั้งแต่นัดที่แพ้ฟุตบอลถ้วยในประเทศนัดชิงต่อ นาโปลี ทำให้ชวดแชมป์โคปปาไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่ก่อนแข่งไม่ว่ามองมุมไหน แชมป์ก็น่าจะเป็นของยูเว่ อย่างแน่นอน แต่สุดท้ายเจอฤทธิ์เดชมหาอุตของนาโปลีและไปวัดจุดโทษชนะไป ยูเว่ก็บุกทำประตูไม่เป็นเช่นกัน

ต่อให้มีโรนัลโด้ก็เถอะ แต่หากใครเป็นแฟนยูเว่นั่นก็ไม่น่าจะรู้สึกตกใจแต่อย่างใด เพราะตั้งแต่ตาลุงนี่เข้ามาคุมทีม สไตล์เกมบุกของยูเว่ จากที่ไร้เทียมทาน ก็ดูจะงง เล่นกันแบบทื่อๆยังไงไม่รู้ ดีที่ว่านักเตะในทีมเก่งและมีความสามารถเฉพาะตัวค่อนข้างสูง จึงทำให้ทีมเอาตัวรอดมาได้หลายนัดอยู่เหมือนกัน

คราวนี้หากจะมองถึงผู้จัดการทีมคนต่อไปนั้น ตัวเต็งที่มีข่าวมานานแสนนาน อย่าง เมาริซิโอ ปอร์เชตติโน่ ที่เคยพาทีมเสปอร์ เกรียงไกรทะลุคว้ารองแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกมาแล้ว กลายเป็นคนที่เข้ามาคุมทีมคนต่อไป และมีข่าวว่า ทางบอร์ดบริหารได้ส่งทีมงานไปเจรจาเพื่อจะชักชวนให้เจ้าตัวเข้ามาคุมทีมแล้ว ส่วนอีกคนนั้นอาจจะเป็นเดจาวู ได้กุนซือคนเก่า

อย่าง อัลเลกรี กลับมาคุมทีมอีกครั้งหลังจากที่เจ้าตัวได้วางมือไปเพื่อขอเวลาให้กับครอบครัว ซึ่งอาจจะกลายเป็นเหมือนซีดานรีเทริน์ที่ มาดริดก็เป็นไปได้ และถ้าไม่ว่าสองคนนี้ใครจะก้าวเข้ามาคุมทีมต่อนั้นเชื่อว่ายังไงก็ถูกใจแฟนบอลม้าลายและนักเตะของทีมอย่างแน่นอนอยู่แล้ว

ขอบคุณ   สล็อตไม่ต้องโหลด  ที่ให้การสนับสนุน

สำหรับประเทศเยอรมนีนั้นอย่างที่ทุกคนคงจะทราบกันดีอยู่แล้วในสมัยก่อนนั้น เยอรมนีถูกแบ่งเป็นสองฝั่งก็คือเยอรมันตะวันออกและเยอรมันตะวันตกนั่นเองเพราะทั้งสองนั้นมีกำแพงแห่งความแตกต่างกันอยู่โดยเฉพาะในโลกของฟุตบอลและเป็นเหตุผลที่ถูกสงสัยอย่างมากว่าทำไมทีมฟุตบอลในฝั่งเยอรมันตะวันออกนั้นจึงเก่งไม่เท่าเยอรมันฝั่งตะวันนตก ย้อนไปในปี 1990

ในวันที่ทั้งสองชาตินั้นได้รวมตัวเป็นปึกแผ่นอีกครั้งหนึ่งด้วยการทลายกำแพงเบอร์ลินนั่นเอง แต่แน่นอนว่าในด้านการเจรอญเติบโตของลีกฟุตบอลนั้นจึงมีความแตกต่างกันและไม่ได้แตกต่างกันธรรมาดาเท่านั้นแต่เป็นความแตกต่างคนละขั้วเลยก็ว่าได้

สำหรับประเด็นหลักที่ถูกหยิบยกและพูดถึงความแตกต่างของทั้งสองฝั่งเลยนั้นก็เป็นในเรื่องของต้นทุนที่แตกต่างกัน ซึ่งในฝั่งของตะวันตกนั้น นับตั้งแต่หลังจากเสร็จสิ้นในสงครามโลกครั้งที่2มานั้นถึงแม้ว่าผู้คนจะต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมายก็ตามแต่ในด้านของการปกครองฝั่งตะวันตกนั้นมีความเอื้ออำนวยเพราะมีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตรและมีการค้าแบบเสรีด้วยหรือเรียกว่าการปกครองแบบทุนนิยมนั่นเอง

และมีสหรัฐอเมริกาในการเป็นตัวช่วยและสนับสนุนในเรื่องต่างๆและในปี 1954 Miracle of Bern สามารถคว้าแชมป์ในรายการแข่งขันฟุตบอลโลกได้อย่างสำเร็จและในการคว้าแชมป์ครั้งนั้นจึงเรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของการเปลี่ยนแปลงวงการฟุตบอลของพวกเขาเลยทีเดียว เมื่อคว้าแชมป์โลกได้แล้วนั้นจึงเกิดการปรึกษาหารือกันในองค์กรและผู้นำสโมสรฟุตบอล ว่าควรที่จะมีการจัดตั้งลีกฟุตบอลอย่างจริงจัง

จนกระทั่งในยุคทศวรรษ 60 นั่นเองก็ได้เกิดรายการการแข่งขันฟุตบอลที่มีชื่อว่าบุนเดสลิกาขึ้น จากการปกครองแบบทุนนิยมนั้นทำให้มีเม็ดเงินจำนวนมากเข้ามาและหมุนเวียนในประเทศทำให้การเจริญเติบโตในวงการฟุตบอลนั้นมีการเติบโตมากขึ้นและรวดเร็ว การเงินที่ดีขึ้น มีเม็ดเงินในการลงทุนมากขึ้น นักเตะได้ค่าจ้างที่มากขึ้น แน่นอนว่าก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้สนับสนุนและสปอร์นเซอร์ต่างๆนั้นเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆและนี่เป็นวงการฟุตบอลของฝั่งตะวันตก

หากมองในฝั่งตะวันออกนั้น มีการปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ทำให้ทุกๆอย่างนั้นอยู่ในอำนาจของรัฐทั้งสิ้น ทำให้การเริ่มต้นในลีกของฝั่งตะวันออกนั้นค่อนข้างที่ดำเนินไปโดยมีช่องว่างและเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ก็ยังคงมีบางทีมที่ได้รับการสนับสนุนซึ่งเป็นการสนับสนุนจากรัฐบาลและในบางครั้ง

ก็มีการพูดถึงในเรื่องของการตัดสินว่ามีการเอนเอียงหรือไม่ เพียงแค่นี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าทำไมทีมฟุตบอลในตะวันตกนั้นจึงเก่งมากกว่าทีมฟุตบอลตะวันออก เพราะต้นทุนที่ไม่เท่ากันจึงทำให้ในฝั่งที่ได้รับโอกาสมากกว่าไปได้ไกลกว่านั่นเอง

สนับสนุนโดย   จีคลับ ผ่านมือถือ